เที่ยวไต้หวันวันที่ 3 ตื่นเช้ามา ทาน Breakfast โรงแรมหน้าตาคล้ายๆ กับโรงแรมก่อนหน้า ซดน้ำเต้าหู้อุ่นๆ ตบท้าย
แล้วเริ่มออกเดินทาง
นั่งรถไปยัง อุทยานเย๋หลิ่ว จุดสูงสุดของไต้หวัน มีลักษณะเป็นแหลมทอดยาวออกไปในทะเล
เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียง เต็มไปด้วยโขดหินที่มีรูปทรงประหลาด ซึ่งเกิดจากการกัดกร่อนของน้ำทะเล ลมทะเล
และการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกเมื่อหลายล้านปี ทำให้เกิดการทับถมของแนวหินตามชายฝั่งในรูปร่างที่ต่างกัน
ไปถึงปุ๊บ ฝนตกพอดี ไกด์เตรียมเสื้อกันฝนให้อยู่แล้ว แต่ก็มีพ่อค้าแม่ค้าขายเสื้อกันฝน และรองเท้ากันฝนแถวนั้น
ไกด์พาเรารีบๆ เดินไปดูจุดสำคัญ เพราะฝนตกก็เฉอะแฉะ และไม่น่าเดินนัก หยิบกล้องออกมาก็เป็นละอองฝน
ถ่ายภาพออกมาเลยไม่ค่อยสวยอย่างที่ตั้งใจเท่าไรนัก เราค่อยๆ เดินตามทางไปยังจุดที่เด่นๆ
จุดนี้เป็นจุดที่คนสมัยก่อนใช้วัดทิศทางลม
เดินไปเห็นอนุสาวรีย์ ที่ระลึก คนที่ลงไปช่วยคนจมน้ำที่ทะเลละแวกนี้ แล้วจมน้ำเสียชีวิตเช่นกัน
จุดที่สำคัญๆเช่นรองเท้า เทพธิดา รูปร่างเหมือนรองเท้าแตะแอดด้า เป็นก้อนดำๆ จนต้องหลุดปากออกมาว่าใครมาทำไว้รึเปล่า
เดินมาอีกไม่กี่ก้าว ก็เจอจุดที่โดดเด่นที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คือ “เศียรราชินี” ของจริงใช้เวลาเพ่งอยู่นาน กว่าจะเห็น
ถ่ายรูปกันพอเป็นพิธีแล้วรีบเดินกลับ เพราะกลัวรองเท้าผ้าใบพัง โชว์ชุดกันฝนซักหน่อย
ออกเดินทางกันต่อไปยังศูนย์ปะการังแดง
ศูนย์ปะการังแดง เป็นศูนย์ประการังที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งประการังแดงถือเป็นอัญมณีชั้นสูง และเป็นที่แพร่หลายของชาวไต้หวัน มีพลังพิเศษช่วยในการปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งประการังแดงนี้ จะอาศัยอยู่ใต้ทะเลลึกถึง 1800 เมตร โดยในอดีต จะเป็นเครื่องประดับสำหรับราชวงศ์และเหล่าบรรดาขุนนาง ข้างในศูนย์ประการังแดง ไม่ให้ถ่ายรูป แต่ส่วนมากก็จะเป็นประการังแดงที่ทำเป็นเครื่องประดับนานาชนิด ได้สร้อยข้อมือมาเส้นหนึ่ง สนนราคาที่ 2800 หลังจากที่คนขายบอกว่าใส่แล้วเลือดลมไหลเวียน ท้าพิสูจน์จากการใส่แล้ววัดที่เครื่องวัดการไหลเวียนของเลือด รับประกัน 10 ปี ซื้อมาแล้วคงต้องใส่เรื่อยๆ เผื่อเลือดลมจะได้หมุนเวียนดีขึ้น (ของแพงก็ต้องใส่บ่อยๆนะ)
ใกล้เที่ยง เราไปกันต่อที่ อู๋เจี่ยว ภัตตาคารสองร้อยล้าน เมนูอาหารจีนพื้นเมือง
ลงจากรถปุ๊บต้องพบกับความตื่นตะลึง แค่รูปร่างหน้าตาสถานที่ภายนอก ก็น่าตื่นเต้นให้เข้าไปพิสูจน์ข้างในแล้ว
เดินเข้าไปข้างในเรื่อยๆ ยิ่งตื่นเต้น อยากเดินลึกเข้าไปอีก
ใครที่ไหนจะมากินร้านอาหารแบบนี้กัน ด้านในมีความอาร์ตสุด
สวยมากมายก่ายกอง สวยมากมายจริงจัง บวกกับความอลังการดาวล้านดวง
โต๊ะอาหารก็สุดชิคเมนูแรกที่มาเสิร์ฟ ลักษณะหน้าตาคล้ายขนมโมจินุ่มๆ อร่อยดี
ตามด้วยอาหารหลากหลายชนิด ที่วางจนล้นโต๊ะ
กินอิ่มแล้วถ่ายรูปเล่นอีกนิดหน่อยก็กลับ
ไปกันต่อที่พิพิธภัณฑ์กู้กง ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บวัตถุและผลงานศิลปะของจีนโบราณ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 5000 ปี ซึ่งของล้ำค่าทางประวัติศาสตร์มีจำนวนมากกว่า 620,000 ชิ้น จากทุกราชวงศ์ของจีน จนต้องหมุนเวียนออกมาดชว์ (หนึ่งชุดจะมี 5000 ชิ้น) หมุนเวียนไปทุกๆ 3 เดือน มีทั้งภาพวาดเครื่องปั้นดินเผา เครื่องทองสำริด เหมาะกับคนที่ชอบวัตถุโบราณ และงานศิลปะ แต่พิพิธภัณพ์ กู้กง เขาจะไม่ให้ถ่ายภาพ ได้แต่เสียบหูฟัง เดินตามไกด์ อธิบายจุดที่สำคัญ ถ้ามาเองคงใช้เวลาดูเป็นวันๆ แต่อาจจะไม่เข้าใจก็ได้ว่าแต่ละชิ้นมีที่มาที่ไปยังไง
หลังจากพิพิธภัณฑ์กู้กง เราไปช๊อปปิ้งกันที่ดิวตี้ฟรี แล้วต่อไปยังตึกไทเป 101 ซึ่งเป็นตึกที่แสดงถึงศักยภาพเทคโนโลยีของไต้หวัน ด้วยความสูงถึง 508 เมตร ได้รับการออกแบบโดยวิศวะกรรมชาวไต้หวัน โดยภายในตัวอาคารมีลูกตุ้มขนาดใหญ่หนักกว่า 660 ตัน ทำหน้าที่กันการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว และมีการตั้งระบบป้องกันวินาศกรรมทางอากาศเป็นอย่างดี ตัวอาคารมองดูคล้ายปล้องไผ่ 8 ปล้องต่อกัน และมีลิฟท์ที่เร็วที่สุดในโลกด้วย ความเร็ว 1010 เมตรต่อนาที แต่วันที่ไป หมอกหนา เลยไม่ได้ขึ้นไปข้างบน เพราะขึ้นไปก็คงไม่เห็นอะไร
ชั้นล่างๆ จะเป็นห้างสรรพสินค้า
ประทับตราว่ามาถึงแล้ว
ที่เค้าห้ามถ่ายรูป แต่มาเห็นป้ายทีหลัง ทั้งที่ถ่ายไปเยอะแล้ว อายเลย
ออกมาเดินเล่นข้างนอกดีกว่า
ตึกรามบ้านช่องดูสีทะมึนๆ แบบที่เห็น ยืนขาตรงเป็นฮิปสเตอร์ที่ไต้หวันสักหน่อย
มีประท้วงกันใหญ่
เดินทางต่อไปรับประทานที่ภัตตาคาร พระกระโดดกำแพง
อิ่มท้องแล้วไปช๊อปปิ้งกันต่อที่ตลาดซีเหมินติง ซึ่งคล้ายสยามแสควร์เมืองไทย เดินเพลินกันเลยทีเดียว
ปิดท้ายการช๊อปปิ้งด้วยสตรอเบอร์รี่กรุบๆ เป็นน้ำตาลข้างนอก ฉ่ำสตรอเบอร์รี่หวานๆ ข้างใน
เมื่อยขากันพอประมาณ กลับไปออนเซนที่โรงแรมต่ออีกคืน ก่อนเที่ยววันสุดท้าย ^ ^