อยู่ๆ ก็ออกมาใช้ชีวิตว่างงานอยู่ 1 เดือน จริงๆ เดือนกว่าๆ ด้วย ด้วยความที่เครียดกับอะไรหลายๆ อย่าง
เรื่องก่อนหน้านั้นเราจะไม่พูด เราจะมาพูดถึงชีวิตช่วงว่างงานกัน
ช่วงว่างงาน เราจะมีคนถามแน่ๆ ว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อไป ทั้งครอบครัว เพื่อน ญาติ หรือคนรู้จัก
เวลาว่างงานจะมีคนหลายๆ ประเภทที่เข้ามาในชีวิตเรา
ส่วนหนึ่งที่กดดันเรา ส่วนหนึ่งที่ให้กำลังใจ ส่วนหนึ่งที่ชมว่าเก่งๆ เดี๋ยวก็หางานได้
ส่วนหนึ่งที่บอกให้ทำธุรกิจของตัวเอง ส่วนหนึ่งที่สมน้ำหน้าที่ออกมาโดยไม่มีงานรองรับ
ส่วนหนึ่งที่ช่วยหางานให้ ส่วนหนึ่งที่เห็นเราไร้ค่าเพราะไม่มีงานทำ
อาการของคนว่างงานจะแบ่งเป็นช่วงๆ เหมือนคนอกหัก
วันแรกของการว่างงาน จะรู้สึก ฮู้เล่ นอนดึกได้ ไม่ต้องตื่นเช้าไปทำงานเหมือนคนอื่น ฟีลลิ่งกู๊ด
ตื่นมาออกกำลังกาย ทำอาหารเช้า รดน้ำต้นไม้ ทำความสะอาดบ้าน เล่นกับหมา ดูยูทูบ
พออยู่ว่างๆ ซักอาทิตย์ เริ่มเกิดอาการวิตกกังวล เอ๊ แล้วต่อไปจะมีตังใช้มั้ยน๊า
จะสมัครงานอะไรดีน้า จะทำธุรกิจของตัวเองดีมั้ยน้า เปิดเว็บไซต์สมัครงานแล้วกด Apply รัวๆ
หลังจากยังไม่มีใครโทรมาเรียกสัมภาษณ์ ก็จะเริ่มเกิดอาการจิตตกหนัก
จะมีคนถามมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าวันๆ ทำอะไร สมัครงานที่ไหนไปบ้าง เวลาแต่ละวันผ่านไปช้าๆ เครียดเข้าไปอีก
พอผ่านไปซักสองสามสัปดาห์ อาการเหล่านั้นจะเริ่มหมดไป จะเริ่มรู้สึกสบายขึ้น
ติดใจกับการใช้ชีวิต slowlife จนบางทีคิดว่าไม่ทำงานแต่ขอมีตังใช้ได้มั้ย
อาการเครียดไมเกรน ปวดต้นคอบ่าไหล่จะเริ่มหายไป สิวจะหาย หน้าตาสดใสเปล่งปลั่ง บางคนถึงขั้นอ้วนขึ้นใส่กางเกงไม่ได้
เราจะไม่ได้มีชีวิตอยู่หน้าคอมทั้งวัน ทำให้ไม่เป็นออฟฟิซซินโดรม แถมยังมีเวลาดูแลตัวเองอีก
ความเครียดจากการถูกกดดันจะเริ่มถูกปล่อยวาง เราต้องขอบคุณคนที่กดดันเราให้เรารีบหางานใหม่
แต่อย่าเอาความกดดันนั้นมาเป็นความเครียด คิดซะว่าเค้าก็ไม่ได้ให้เงินเราใช้ในยามที่เราว่างงาน
เราเชื่อว่าคนที่ทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว ถึงจะไม่ได้รวย แต่คงต้องมีเงินเก็บสำรองฉุกเฉินอยู่บ้าง
พอว่างงาน เราก็แค่ปรับการใช้ชีวิตใหม่ ไม่กินของหรู ไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย ใช้เฉพาะเท่าที่จำเป็น
อะไรที่มีอยู่แล้วก็ไม่ต้องซื้อ อะไรที่พอจะขายออกไปได้ก็ขายออกไป
อย่านัดเพื่อนฉลองบ่อยเกินไป ถ้านัดก็กินร้านธรรมดาๆ พอประทังชีวิต
ใครได้อ่านถึงตรงนี้แล้วก็แค่จะบอกว่า ถ้าเกิดกรณีว่างงาน แบบไม่ทันตั้งตัว หรือว่างงานโดยจงใจก็อย่าสติหลุด
จงมีสติแล้วลุกขึ้นยืนใหม่ หาคนที่สบายใจคุยด้วย แล้วใช้ชีวิตให้เต็มที่ในสิ่งที่เราอยากทำ
อย่าปล่อยให้ชีวิตไร้ค่า เพราะเวลาหวนกลับมาไม่ได้ อย่าตื่นสายนอนกินบ้านกินเมืองเกินพอดี เพราะเวลาที่เสียไปกลับคืนมาไม่ได้
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าเราจะมีสถานะเป็นคนว่างงานก็ตาม แต่แทบไม่มีวันไหนเลยที่อยู่เฉยๆ นั่งๆ นอนๆ เลย
อาจจะมีบ้างวันนึงซักสองสามชั่วโมง แต่เวลาอื่นก็หาอะไรทำไปเรื่อยๆ ให้คุ้มค่ากับเวลาที่ว่าง
โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีเข้ามาบ่อยๆ ถือว่าเป็นช่วงปิดเทอมที่เราได้พักกายพักใจ ได้ทำอะไรที่อยากทำ
เริ่มแรกเราคงต้องโฟกัสที่การหางานก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนอื่นเลยคือการปรับเรซูเมใหม่ ให้น่าสนใจ
เพราะถ้าส่งๆ ไปหาบริษัท แล้วไม่มีใครติดต่อกลับมาเลย นั่นแสดงว่าเรซูเมไม่ตรง หรือไม่น่าสนใจพอจน HR โยนลงถังขยะ
อย่าลืมไปฝากเรซูเมไว้ใน Jobs board ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Jobsdb jobtopgun และอื่นๆ อย่าลืมเปิดให้เป็นสาธารณะ
เพราะ HR บางทีก็จะขี้เกียจเข้าไปดู ถ้าเกิดคนสมัครงานตั้งค่าความเป็นส่วนตัวมากเกินไป
ไปฝากเรซูเมไว้กับ Headhunter ก็ดี เวลาเค้ามีงานดีๆ เค้าจะโทรมาคุยเอง
ถ้าตรงกับที่สนใจก็บอกเค้าไปว่าสนใจ ถ้าบริษัทสนใจเค้าก็จะเรียกคุณไปสัมภาษณ์เอง
แต่ถ้ายังไม่น่าสนใจ ก็บอกเค้าไปตรงๆ ว่างานอะไรที่อยากทำ อย่าหยวนๆ เพราะเสียเวลาทั้งสองฝ่าย
ลองอัพเดทโปรไฟล์ของตัวเองไว้ใน Linkedin ลงความสามารถไปเยอะๆ แล้วไปกดติดตามหนุ่มๆ สาวๆ Headhunter ทั้งหลาย
หรือกดติดตาม HR หรือ Manager บริษัทที่อยากเข้าร่วมงานด้วย และถ้ามีโอกาสคุณอาจจะส่งข้อความไปพูดคุยกับพวกเค้าด้วยก็ได้
ช่วงเวลาแบบนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องคุยกับคนเยอะๆ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ อาจจะช่วยแนะนำงานให้ได้
ทุกๆ วันควรเสียเวลาหางานอย่างน้อยวันละชั่วโมง แล้วกดสมัครงานที่อยากทำไปโดยไม่ต้องลังเล
ทำได้ไม่ได้ เค้าจะเรียกไหมนั่นอีกเรื่องหนึ่ง เอาแค่ใจอยาก เพราะอาจมีคนให้โอกาสเราก็ได้
ระหว่างที่หางาน อย่าลืมหาความรู้ใส่ตัวด้วย ในเรื่องที่เราจะต้องไปสัมภาษณ์งาน และเรื่องอื่นๆ ข่าวสารบ้านเมืองเผื่อเค้าถามความรู้รอบตัว
ถ้าไปสัมภาษณ์งานหลายที่แล้วไม่ได้ซักที่ เราต้องประเมินตัวเองว่าเราตอบคำถามได้ดีไหม และปรับปรุงคำตอบเวลาไปสัมภาษณ์ครั้งต่อไป
หาเวลาออกกำลังกาย อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3-4 วัน หรือมากกว่า
ส่วนตัวเราเอง พอว่างงานปุ๊บ ก็ไปเที่ยวกับเพื่อน กับครอบครัวปั๊บ ปล่อยตัวปล่อยใจให้เต็มที่ มีไปเสม็ด ไปชะอำมา
หลังจากเที่ยวไปสองสามที่ เงินในกระเป๋าอาจจะเริ่มหมด ต้องใช้ชีวิต Slowlife อยู่ที่บ้านบ้าง ก็หาอะไรทำกินเองขำๆ
ถ้าอยู่บ้านมากไปจนขาดแรงบรรดาลใจ ก็ออกไปฟังสัมมนาฟรีบ้าง งานอะไรที่ฟรีก็ไปให้หมด เติมพลังให้กับตัวเอง
อย่างงานนี้ไปสมัครเป็นสาวเฮลตี้ ร่วมกิจกรรมในเฟสบุ๊คกับแบรนด์เสื้อผ้า มีเทรนเนอร์มาเทรนเรื่องการออกกำลังกายฟรีๆ
ไปร่วมงานของเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เพื่อ Keep Connection บ้าง
หรือจะไปช่วยเพื่อนทำงานก็ยังได้ อย่างเราไปช่วยเพื่อนทำงานวิจัยเรื่องคอนโดมาครึ่งวัน ก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อน
อย่าลืมว่าภายใน 1 เดือนไปยื่นสิทธิ์ชดเชยกรณีว่างงานกันด้วย (อ่านเพิ่มเติมในบล็อคก่อนหน้า)
หาหนังที่อยากดูบ้างอะไรบ้าง แต่เลือกวันไปดู วันที่ตั๋วหนังลดราคา
เรื่องนี้ก็ได้ดูฟรีอีก
พอว่างๆ เลยเสิชเน็ตว่ามีอะไรน่าทำได้เล่นๆ บ้าง เลยไปซื้ออุปกรณ์มาสนองความอยากของตัวเอง มันคือสบู่จ้า
ทำไปหลายก้อน ออกมาหน้าตาพอดูได้อยู่ก้อนเดียว ยังต้องฝึกฝีมือกันต่อไป ทำแล้วก็ใช้เองด้วยนะจ๊ะไม่เสียเปล่า
ซื้อปากกา กับสีราคาไม่แพงมาวาดรูปสร้างแรงบรรดาลใจ แม้จะไม่สวย ก็วาดๆ ไปเถอะ
พอดีมีโอกาสได้ไปเป็น Extra ละครแนวพีเรียด ก็ไปขำๆ หาประสบการณ์ กินข้าวกอง 3 มื้อ มีเงินเก็บเป็นค่าอาหารมื้อต่อๆ ไปนิดหน่อย
ได้เห็นคนอีกโลกหนึ่งซึ่งเราไม่เคยเห็น ได้เจอดารา ได้เห็นทีมงานที่แตกต่างกัน ทีมไหนเก่ง ทีมไหนไม่เก่ง
ได้เห็นการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะระหว่างดารา กับนักแสดงตัวประกอบ
ได้รู้ว่านักแสดงตัวประกอบบางคนก็บ้านรวยอยู่แล้ว แต่มารับค่าจ้างน้อยนิดเพื่อความสนุกสนาน
ได้รู้ว่าบางคนก็เป็นนักแสดงตัวประกอบมานาน จนเราอาจจะเห็นเค้าอยู่ในทุกๆ เรื่องของละคร
ได้รู้มุมมองหลากหลาย ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้คลุกคลีวงการโมเดลลิ่ง และที่สำคัญคือการไปลามาไหว้ผู้ใหญ่ ที่ทำให้เค้าเอ็นดู
(ขอบคุณพี่หนุ่ม สำหรับโอกาสนี้ค่ะ ^^)
ได้มีโอกาสรู้จักกับนักพากย์เสียงตัวการ์ตูน และหนังชื่อดัง เลยได้ลองไปห้องอัดเสียงและเรียนรู้วิธีพากย์เสียงจากนักพากย์เก่งๆ หลายคน
(ขอบคุณพี่เอ สำหรับโอกาสนี้ค่ะ ^^)
ได้ไปพิพิธพัณฑ์ที่อยากไป
นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมอื่นๆ เช่น เรียนขับรถ ไปเดินจ่ายตลาด รับไปนั่งตอบคำถาม โฟกัสกรุ๊ป สัมภาษณ์เดี่ยวงานวิจัยโฆษณา และอื่นๆ
ระหว่างทำกิจกรรมลั้ลลาก็มีบริษัทเรียกไปสัมภาษณ์บ้าง ทำข้อสอบลับสมองตีโจทย์ให้แตกกับบริษัทนั้นๆ บ้าง แค่นี้เวลาในแต่ละวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วแล้ว
เป็นการได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่หลากหลายมากๆ รู้สึกได้อะไรเยอะกับการว่างงานในครั้งนี้
ใครจะเอาไปลอกเลียนแบบก็ไม่ว่ากันนะคะ แล้วมาเล่าให้ฟังว่าไปทำอะไรกันมาบ้าง
สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้ ท้อได้ แต่อย่าถอย ไม่ว่ากรณีใดๆ
เหนื่อยกายเหนื่อยใจก็ร้องไห้ออกมา แล้วเข้านอน ตื่นเช้ามาก็เริ่มใหม่ ชีวิตยังมีพรุ่งนี้เสมอ สู้ๆ ค่ะ ^^