เมื่อกลางเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ลาออกจากงานประจำ แล้วตัดสินใจว่าจะพักไปเที่ยวซักที่ ก่อนจะเริ่มทำงานที่บ้าน
นั่งนึกอยู่นานว่าจะไปไหนดี มีเวลาประมาณแค่ 1 วีค เที่ยวเกินกว่านี้ไม่ได้ เพราะต้องกลับมาทำเรื่องย้ายบ้าน
ยุโรปก็คงไม่ได้แน่ๆ ต้องไปอย่างน้อย 2 วีค เอเชียก็เริ่มเบื่อๆ หาอยู่นาน เลยตกลงกันว่าจะไปรัสเซีย
เป็นประเทศที่บอกใครแล้วก็ถามย้ำกันอีกครั้งว่าจะไปจริงๆเหรอ มันดูโหดๆนะ จะมีอันตรายอะไรมั้ย
ตอนจองทัวร์ไป เห็นจากทัวร์นึง แต่ทัวร์นั้นไม่ไป เลยได้ไปทัวร์ที่ถูกกว่า ในราคาแค่ 32,900 บาท บินตรงรัสเซีย กับการบินไทย 5 วัน 3 คืน ใช้เวลาบินประมาณ 9 ชั่วโมง
เราเลือกไปแค่มอสโคว ซากอร์ส บินตอนเช้า จัดเสื้อผ้าไปแบบอากาศเย็นๆ 10 กว่าองศา เวลารัสเซียจะช้กว่าไทยประมาณ 4 ชั่วโมง เตรียมแลกเงินรัสเซียไป สกุลรูเบิล (RUB) ค่าเงินของไทยกับรัสเซียดูไม่ได้ต่างกันมาก
เราเปิด Sim2fly ของ AIS แบบยุโรปไป แอบแพงอยู่ แต่เดี่ยวนี้ไปต่างประเทศก็ต้องมีเนตติดตัวตลอดเวลาแล้วก็เลยต้องยอม
ไฟล์ทที่บินเป็นไฟล์ทเช้าแบบสบายๆ เครื่องออก 10 โมงกว่าๆ ขึ้นเครื่องแป๊บเดียวขนมก็มาแจก กินรองท้อง
ยังไม่ทันจะหลับเลย ข้าวเที่ยงก็มาอีกแล้ว
แล้วก็นอนยาวไป 8 ชั่วโมง เครื่องลงจอด พร้อมเสียงปรบมือดีใจกันเกรียวกราวของชาวรัสเซีย
ถ้าใครไม่ได้อ่านข้อมูลไปก่อนคงงงแน่ๆ แค่เครื่องลง ดีใจอะไรกันขนาดนั้น แต่เค้าเป็นคล้ายๆธรรมเนียมของรัสเซียไปแล้ว
ลงจากเครื่องก็ต้องไปผ่านตม.รัสเซีย โอ้โห รอยาวนานมาก คนแน่นมากเวอร์ แม้ผู้ชายรัสเซียจะน่าให้มองแค่ไหนก็ตาม แต่การยืนต่อคิวตม.แสนแคบเป็นชั่วโมงๆ ร้อนๆ อึดอัดๆ ทัวร์จีนโหวกเหวก เป็นอะไรที่เมื่อยและทรมานพอควรเลยทีเดียว เราไปลงกันที่สนามบินโดโมเดโดโว กรุงมอสโคว ประเทศรัสเซีย ซึ่งมอสโคว์นี้เองเป็นเมืองที่ครองอันดับเมืองที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 850 ปี กันเลยทีเดียว
หลุดพ้นจากตม.มาได้ ก็เดินลากกระเป๋าออกมา ใครใครจะซื้อซิมก็แวะซื้อกันที่นี่ ยืนมองจมูกโด่งๆของเจ้าหน้าที่กันไป
ออกจากสนามบิน อากาศไม่ได้เย็นตามที่คาดคิด อากาศเหมือนประเทศไทตอนเย็นๆ แต่ลมโกรกแรงกว่า แดดช่วงบ่ายมีความแรงแยงตา แต่ท้องฟ้ามีความฟ้า มีความใส
รอรถทัวร์มารับที่หน้าสนามบิน
ไกด์เป็นคุณลุง ชายรัสเซีย ติดสำเนียงรัสเซีย ฟังยากอยู่ แต่มีความใจดี ซื้อช็อคโกแลตรูปเด็กมาแจกตั้งแต่แรกพบ ประทับใจ ไกด์รีบบอกก่อนเลยว่าผู้ชายรัสเซียปากหวาน ชอบชม และวันดีคืนดีก็ซื้อดอกไม้ให้เฉยๆ เนื่องในโอกาสอยากให้ ไรงิ มีความน่ารัก
ระหว่างทางไปสถานที่แรก เราก็จะพบกับโบสถ์ ซึ่งเป็นทรงหัวหอม กลมๆอยู่ ดูๆแล้วคล้ายอิสลามเลย แต่จริงๆเป็นของคริสต์นะ
และเราก็มาถึงสถานที่แวะที่แรกกันแล้ว คือเนินเขาสแปร์โรว์ (Sparrow Hills) จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพของกรุงมอสโควได้ทั้งเมือง และสามารถมองเห็นตึกสูง 7 ตึก ที่สร้างในสมัยสตาลิน 1 ใน 7 ตึก
ยืนที่จุด Sparrow Hills จะเห็นมหาลัยมอสโควด้วย
เราอยู่ถ่ายรูปจุดนั้นกันแป๊บเดียว แล้วก็แวะเข้าห้องน้ำเตรียมตัวขึ้นรถ
แถวนี้มีความร่มรื่น เหมาะกับการเดินเล่นยิ่งนัก
ยืนต่อคิวเข้าห้องน้ำ ก็ถ่ายรูปเล่นกันนิดนึง
นั่งรถต่อกันไปกินอาหารเย็น แถวร้านอาหารร้านแรกที่ไปกิน มีความเป็นมอสโควสูงมาก บรรยากาศ สีของตึกที่เป็น Earth Tone มันได้หมดเลย มีความดิบ มีความโหดในสีสันของสิ่งก่อสร้าง แม้แต่แสงแดดยังมีความดิบเลย
ถ่ายแม่รูปนี้มาแล้วชอบมาก คือแม่มีความดิบมากค่ะ
รูปตัวเองบ้าง อย่างโหด
บรรยากาศมันใช่มากๆ
ส่วนใหญ่ที่ทัวร์พาไปกิน จะเป็นอาหารจีน
อาหารจีนที่รัสเซีย รสชาติใช้ได้ ไม่เหมือนอาหารจีนที่จีน กินไม่ค่อยจะลง หน้าตาอาหารค่อนข้างดูดี แต่ปลาก้างเยอะไปหน่อย จานหมูติดกระดูกอร่อยสุด แม้จะมีกระดูก แต่รสเค็มปะแล่มๆ กินกับข้าวร้อนๆตอนหิวๆ สุดยอด
กินเสร็จ เราก็เตรียมตัวขึ้นรถต่อกันไปที่โรงแรม
โชว์แม่กันอีกซักภาพ คือถ่ายแล้วชอบ สีมันได้ แบบไม่แต่งอะไรเพิ่ม
ถึงโรงแรมแล้ว ได้เวลาพักผ่อน 3 ทุ่มแล้ว ยังเหมือนเย็นๆ เข้าพักกันที่โรงแรม Maxima Hotel
ทางเดินไปห้องนอน มีความลึกลับซับซ้อน
ห้องนอนมี 2 เตียง ไม่ได้ใหญ่มาก สังเกตดูด้านนอกโรงแรมยังสว่างอยู่เลยจ้า
มองไปด้านนอกหน้าต่าง เนื่องจากเวลาเปลี่ยนแปลง กว่าจะหลับ ก็ตี 3-4 ตามเวลาไทยแล้ว
รุ่งเช้า ตืนสบายๆ ชิลๆ 8 – 9 โมง ในต่ละวัน เพราะที่รัสเซีย มืดช้า และแต่ละสถานที่เค้าจะเปิดตอน 10 โมง
ซึ่งดูแล้วเหมาะกับเรามาก เป็นการมาเที่ยวที่นอนเต็มอิ่ม สบายมาก
มาทาน Breakfast ที่ห้องอาหาร เป็น Breakfast สไตล์ยุโรป
พูดถึงพวกอาหารในรัสเซีย ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่นำเข้าจากต่างประเทศทั้งหมด พวกของสด ผักผลไม้ เพราะเวลาที่อากาศหนาว จะหนาวเย็นมากๆ รวมถึงนำเข้าพวกของใช้ซะเยอะด้วย แต่เป็นประเทศที่ส่งออกพวกก๊าซธรรมชาติ อัญมณี แร่ต่างๆ
ชอบตรงแยมพีช กับน้ำผึ้ง และผลไม้ที่บ้านเราไม่ได้กินบ่อยๆ
เตรียมตัวขึ้นรถ แถวโรงแรมต้นไม้เยอะมาก ชอบๆ
ระหว่างขับรถผ่าน 2 ข้างทาง สถาปัตยกรรม มีความเป็นรัสเซียมาก
ที่แรกที่เราจะไป คือพระราชวัล เครมลิน (Grand Kremlin Palace) เข้าพิพิธภัณฑ์อาร์เมอรี่ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดของรัสเซีย เป็นที่เก็บสะสมของมีค่าที่ดีที่สุดของรัสเซียจากคริสตศตวรรษที่ 14 ถึงช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 20ซึ่งพิพิธภัณฑ์อาร์เมอรี่นี้เองเป็น 1 ใน 3 พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติของพระเจ้าแผ่นดินที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลก
ชอบสีเขียว และดอกเล็กๆน่ารักแบบนี้
เป็นวันที่ฟ้าใสมาก และอากาศไม่เย็น ค่อนข้างไปทางร้อน เสื้อผ้าที่เตรียมไปที่คิดว่าจะหนาว ก็ไม่ได้ใส่
เรายืนรอเจ้าหน้าที่ตรวจสัมภาระ แบบละเอียด ก่อนเข้า
พระราชวังเครมลินเป็นที่ประทับของพระเจ้าซาร์ทุกพระองค์ จนกระทั่งพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชทรงย้ายไปนครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ปัจจุบันจึงเป็นที่ประชุมของรัฐบาลและที่รับรองแขกระดับประมุขของประเทศ
มีงานซ้อมพิธี ของประธานาธิบดี ทหารม้าเป็นแถวยาวเลย ทั้งทหาร ทั้งม้า มีความเป๊ะเวอร์
ต่อไปใกล้ๆกัน เป็นโบสถ์ อัสสัมชัญ เป็นโบสถ์ที่สำคัญใช้ในงานพิธีกรรมที่สำคัญ เช่นการประกอบพิธีบรมราชาภิเษก ของพระเจ้าซาร์ทุกพระองค์ แล้วเป็นวันที่ฟ้าใส ฟ้าเป็นสีฟ้า ถ่ายออกมาแล้วสวยมาก ของจริงก็อลังการมากไม่แพ้กัน ที่นี่นับถือศาสนาคริสต์ นิกายออโธดอกซ์ ซะเป็นส่วนใหญ่
เดินไปอีกนิด จะเห็นระฆังที่พระเจ้าซาร์สร้างในสมัยพระนางแอนาซึ่งประสงค์ จะสร้างระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อนำไปติดบนหอระฆัง แต่เกิดความผิดพลาดระหว่างหล่อระฆัง ทำให้ระฆังแตกซะก่อนใบใหญ่ที่สุดในโลก
เดินไปอีกนิด ก็จะเห็นปืนใหญ่พระเจ้าซาร์ ที่ต้องการสร้างให้เป็นปืนใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ไม่เคยมีการใช้ยิงเลย สร้างจากบรอนซ์ น้ำหนัก 40 ตัน
รอรสบัสมารับไปกินข้าว เราจะเห็นรถยาวๆในรัสเซียแบบนี้เยอะเลย
กินข้าวกลางวันกันแถวนี้
เป็นอาหารจีนอีกเช่นเคย
กินข้าวเสร็จ เราก็กลับมายังจุดเดิม วิหาร เซนต์บาซิล (Saint Basil’s Cathedral) เป็นสถาปัตยกรรมที่มีความสวยงามมากๆ ประกอบด้วยยอดโดม 9 ยอด ที่สีสันสวยงามสดใส สร้างด้วยศิลปะรัสเซียโบราณ โดยสถาปนิกชาวรัสเซีย Postnok Yakovlev ความโหดร้ายของเรื่องราวของการสร้างสถาปัตยกรรมนี้คือ คนคิดโดนควักลูกตาออก จะได้ไม่ไปสร้างที่ไหนให้สวยเท่านี้ได้อีกแล้ว คนสมัยก่อนนี่น่ากลัวจริงๆ และถ้าอ่านประวัติศาตร์ดูจริงๆ ราชวงศ์ของรัสเซียก็มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน แอบแฝงความโหดอยู่ไม่แพ้ชาติอื่น
ละแวกใกล้เคียง เราเดินกันไปต่อที่ห้างสรรพสินค้ากุม (Gum Department Store) สถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ของเมือง สร้างในปี ค.ศ. 1895 ขายสินค้าพวกแบรนด์เนม เสื้อผ้า เครื่องสำอาง น้ำหอม ราคาค่อนข้างแพง
ด้านนอกเราจะผ่านหอนาฬิกาซาวิเออร์ ตั้งอยู่บนป้อมสปาสสกายา เป็นศิลปะโกธิค บนยอดมีดาวแดง 5 แฉก ที่ทำจากทับทิม น้ำหนัก 20 ตันซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์ นำมาประดับไว้ เมื่อปี ค.ศ. 1995
เค้าบอกว่าไอติมอร่อยมาก แต่ยังอิ่มๆอยู่ เลยไม่ได้กิน
ของฝากอีกอย่างที่น่าซื้อในห้างกุม คือว็อดก้า เค้าแนะนำขวดนี้ น่าจะรสชาติดีสุด แต่ไม่รู้จะซื้อไปฝากใคร
บรรยากาศน่านั่งกินอะไรชิลๆมากเลย
ละแวกแถบนี้คือจตุรัสแดง (Red Square) คนรัสเซียก็มีความเชื่อเรื่องสีคล้ายคนจีน และอุปนิสัยก็อยู่กันเป็นครอบครัวแบบคนจีนซะส่วนใหญ่ เค้าเชื่อว่าสีแดงเป็นสีของความโชคดี เป็นสีของความรัก จนบางครั้งจะทำนิสัยคล้ายๆคนไทยเหมือนกันนะ ที่อะไรไม่ดีก็กำมือเคาะๆแล้วเขวี้ยงออกไป เหมือนเอาความไม่ดีออกจากตัว คนรัสเซียเลยมีคามหน้าฝรั่ง แต่คิดแบบเอเชีย
แต่มาซื้อของตึกข้างๆ ในราคาที่ถูกกว่า ได้ครีม เซรั่มไข่ปลาคาเวียร์มา รองเท้าแฟชั่นก็สวยๆ กระเป๋า เสื้อผ้า และร้านเครื่องสำอาง ส่วนใหญ่ จะเป็นร้านนี้ อย่างลอรีอัล ไนท์ครีมที่เค้าบอกว่าใช้ดี ราคาก็ยังถูกมาก คนขายแนะนำดี แถมมีส่วนลด เรียกได้ว่า ที่นี่ลดแลกแจกแถมกันเลยทีเดียว คุ้มสุดๆ
มื้อเย็นหาอะไรกินเอง จิ้มมั่วๆ ไม่อร่อยเลย
กลับไปที่พัก มีร้านสะดวกซื้ออยู่ข้าโรงแรม เลยไปซื้อ 2 สิ่งนี้มากิน ขวดนี้เปรี้ยวๆดี แต่เป็นแอลกอฮอล์นะ ก็นั่งมึนๆในห้องกันไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เรากินอาหารเช้ากันที่โรงแรมเหมือนเดิม แต่ตื่นเช้าหน่อย เพื่อเปลี่ยนเมือง มากันที่ ซากอร์ส (Zagorsk) ระยะทางประมาณ 75 กม. จากกรุงมอสโคว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.
เมืองนี้เป็นเสมือนเมืองโบราณ เพราะเป็นที่ตั้งของศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุด และเก่าแก่ที่สุดในคริสตศตวรรษที่ 14 – 17 เป็นที่แสวงบุญอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ และยังเป็นวิทยาลัยสอนศิลปะ สอนการร้องเพลงทางศาสนา สอนการวาดภาพไอคอน เป็นวิทยาลัยสงฆ์อีกด้วย วันนี้ที่มา อากาศช่างแตกต่างจากเมื่อวานลิบลับ ลมเย็น อากาศหนาวมาก
ยืนรอซื้อตั๋วก็หนาวสั่น
ไปต่อกันยังโบสถ์อัสสัมชัญ (Assumption Cathedral) โบสถ์ที่มีความสวยงามมาก สีฟ้าสดใส มีการสร้างสมัยพระเจ้าอีวาน เมื่อปี 1559 – 1585 เลียนแบบมหาวิหารอัสสัมชัญที่จตุรัสวิหารแห่งเครมลิน
ที่นี่ยังมีโบสถ์เก่าแก่ สร้างในสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช ภายในตกแต่งด้วยภาพนักบุญ มีแท่นสำหรับประกอบพิธีของพระสังฆราชและที่สำหรับนักร้องนำสวด ยังมีหอระฆังที่สร้างในสมัยของพระนางแคทเธอรีนมหาราช ที่ต้องการให้เหมือนหอระฆังที่จัตุรัสวิหารแห่งพระราชวังเครมลิน แต่ที่นี่จะสูงกว่า
เห็นของจริงแล้วสวยมาก อลังการมาก เป็นสีทองที่ดูสวยงามจนจะขนลุก
ออกมาด้านนอก จะพบโบสถ์ โฮลีทรินิตี้ (Holy Trinity Monastery) ซึ่งเป็นโบสถ์แรกของเมืองมียอดโดมหัวหอมสีทอง ภายในตกแต่งด้วยภาพเฟรสโก และภาพไอคอน 5 ชั้น มีโลงศพสีเงินของนักบุญเซอร์เจียส ที่ภายในบรรจุกระดูกของท่าน ประชาชนที่ศรัทธาจะเดินทางมาสักการะด้วยการจูบฝาโลงศพ
นี่คือบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ซึมขึ้นมาเองตามธรรมชาติ (Chapel over the Well)
มาที่นี่ต้องซื้อขนมปังกิน เป็นสิ่งที่เค้า Recommend แต่กินแล้วก็เฉยๆอะ จืดๆ ไม่ได้มีความอร่อยแต่อย่างใด
คนแทบจะแย่งกันซื้อ
ออกจากสถานที่ของโบสถ์ ติดกัน มีร้านอาหารของพื้นเมืองอยู่
มีบาทหลวงด้วย เหมือน Professor ในหนังเลย
ภายในร้านอาหาร อย่างสวย
ออเดิฟเป็นสลัดผัก น้ำสลัดใส เรียกน้ำย่อย มื้อนี้หลายคนกินไม่ได้ เพราะโดนไกด์ขู่ไว้เยอะ พกมาม่ามากันใหญ่ แต่เรากินอย่างเอร็ดอร่อย
ตามด้วยแป้งเลย ขนมเค้กช็อคโกแลต
ซุปประจำชาตืรัสเซีย ซุปโบร์ช (Borscht) น้ำแดงๆ เพราะบีทรูท รสชาติเปรี้ยวๆคล้ายแกงส้มบ้านเรา แต่จืดกว่า มาแบบร้อนๆแทบจะเหมาคนเดียวหมดชามใหญ่
มีข้าวมาด้วย ตอนแรกคิดว่าไม่อิ่ม แค่กินปลาลงไปก็อิ่มตื้อ
เสิร์ฟน้ำชาปิดท้ายล้างปาก
แวะเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำก็ยังสวย
ออกมาเจอดอกไม้ น่ารักดี
นั่งรถต่อมาซื้อของที่ระลึก สินค้าพื้นเมือง ในราคาไม่แพงมาก พวกตุ๊กตาแม่ลูกดก หมวก เสื้อขนสัตว์ กล่องดนตรี นาฬิกา
ระหว่างรอกลับ มีรถยาวอีกแล้ว สวยมากคันนี้
เรากลับมากันที่มอสโคว คราวนี้ไปต่อกันที่รถไฟใต้ดิน ที่ถือได้ว่ามีความสวยงามมากที่สุดในโลก ด้วยความโดดเด่นของสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายในสถานี ความสวยงามของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน มีจุดเริ่มต้นมาจากช่วงแรกสุด ที่สตาลินขึ้นมาเป็นผู้นำสหภาพโซเวียต ลักษณะของสถาปัตยกรรมที่นำมาตกแต่งภายในสถานีนั้น เป็นลักษณะของ Monumental Art คือลักษณะของงานศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงคุณความดีของวีรบุรุษ ซึ่งจะสื่อออกมาในรูปแบบของงานปั้น รูปหล่อ ภาพสลักนูนต่ำ ภาพวาดประดับลวดลายแบบโมเสก โดยแต่ละสถานี 200 กว่าสถานี ก็มีดีไซน์ที่ไม่เหมือนกันเลยซักสถานีเดียว
บางสถานีมีนักดนตรีมาเล่นด้วย เป็นเพลงคลาสสิค ในโถงที่เป็นโค้งๆทอดยาวไป ทำให้เสียงก้องกังวานอยู่ในนั้น ไพเราะจับจิตจับใจ
แล้วเราก็ไปขึ้นสถานีรถไฟที่มีบันไดเลื่อนสูงที่สุดกัน สูงมาก ไม่ถึงซักที แต่บันไดเลื่อนก็มีความเร็วมากเช่นกัน คงไม่มีใครคิดจะเดินบนบันไดเลื่อนล่ะมั้ง ตรงจุดนี้เอง เราเดินๆไป แล้วเจอผู้หญิงวัยรุ่นรัสเซียทักว่าหนีห่าว คือน่ารักมากๆ
ออกจากสถานีรถไฟ เราหยุดรอรสบัสกันที่ห้างสรรพสินค้าอีกที่หนึ่ง
ห้างนี้คือจัดไฟกับลิฟท์สวย จำชื่อห้างไม่ได้
ขึ้นไปเจอเค้าจัดแสดงตุ๊กตาที่ขยับได้ น่ารักมากๆ
เจอภาพที่เห็นแล้วต้องมองรอบข้างว่านี่เค้ากำลังถ่ายหนังกันอยู่รึเปล่า โมเมนต์ สวีทกันมากเวอร์
จุ๊บกันกลางห้าง กลางทางเลย นี่ก็แอบไปถ่ายรูปเค้ามาอีก
แอบหิวน้ำ เลยซื้อไอติมรสมะนาวกิน อร่อยเปรี้ยวสะใจมาก
ออกจาห้าง ขึ้นรถไปกินข้าวเย็น อันนี้คือห้างด้านนอก ซึ่งไม่รู้จักชื่อ
ที่นี่เค้าเป็นรถรางไฟฟ้า มีสายไฟฟ้า เต็มไปหมด
เค้ามีสถานที่ที่เล่นละครสัตว์ กายกรรมอะไรพวกนี้ด้วย
แล้วไกด์ก็พาไปร้านผิด หลังจากที่ทุกคนหิวโหย แะอากาศหนาวมาก ไกด์เค้าเป็นลุงแก่ๆที่มีความรับผิดชอบสูงมาก เค้าก็รู้สึกผิด ทำตาปริบๆเหมือนจะร้องไห้ แล้วมาขอโทษทุกคนตอนถึงร้านอาหารแล้ว ซึ่งทุกคนบอกว่าลุง ไม่เป็นไรนะ คนเรามันผิดพลาดกันได้ โอ๊ยซึ้ง เค้ารักในอาชีพเค้ามากๆ และต้องทำให้ทุกอย่างเป็น Professional ที่สุด
เค้าบอกว่าเบียร์สดที่นี่ดีงาม เลยลองชิมดู ราคาไม่แพง แต่กินไปครึ่งแก้ว โอ๊ยเมา หน้าแดงไปหมดแล้ว
หน้าตาอาหารก็คล้ายๆเดิมนั่นแหละ 5555
กินอิ่มแล้วก็กลับโรงแรมพักผ่อน
เช้าวันรุ่นขึ้น เป็นวันสุดท้าย อากาศไม่เย็นมาก กำลังเดินสบายๆ ตื่นสายๆ ไปที่ถนน อารบัต (Arbat Street) เป็นถนนคนเดิน ยาวประมาณ 1 กม. เป็นทั้งย่านการค้า แหล่งรวมวัยรุ่น ร้านขายของที่ระลึก ร้านนั่งเล่น และยังมีศิลปินมานั่งวาดรูปเหมือน รูปล้อเลียน และศิลปินเล่นดนตรีเปิดหมวก แต่ตอนที่ไปน่าจะยังเช้าอยู่ เลยโล่งๆ ไม่ค่อยมีคน ถ่ายรูปได้สบาย
แมคโดนัลของรัสเซีย
ถ่ายกับไกด์ คุณลุงใจดี เป็นไกด์ที่ดีมากๆ
มากินมื้อกลางวันกันต่อ
จริงๆในโปรแกรมมีไปวิหาร เซนต์ซาเวียร์ด้วย (Cathedral of Christ the Saviour) แต่ไกด์ดูเวลาแล้วถ้าไปต้องตกเครื่องแน่ๆ เลยขอตัดโปรแกรม เพราะมอสโควเป็นเมืองที่รถติดมากๆๆๆๆจริงๆ เพราะคนส่วนใหญ่ นิยมใช้รถยนต์ส่วนตัวกันมากกว่า ถึงแม้ว่าระบบขนส่งจะสะดวกก็ตาม แต่ด้วยจำนวนประชากร ทำให้เป้นเมืองที่หนาแน่นไปหมด ในที่สุดก็ไปถึงทันเวลาขึ้นเครื่องพอดี ซื้อของกินในตู้หยอดเหรียญก่อนขึ้นเครื่อง และหลับยาวไปอีก 9 ชั่วโมง
สำหรับความประทับใจที่มารัสเซีย คงจะเป็นเรื่องของคน ที่เราเห็นว่าเค้าหน้าหงิกๆ แต่หลายคนก็ใจดีมาก เหมือนหน้าหงิกไปอย่างนั้นเอง คนรัสเซียบางคนก็ยิ้มให้ด้วยซ้ำ มันก็เหมือนคนไทยหรือคนทั่วๆไปนั่นแหละ ที่มีหลากหลายประเภท จะไปตัดสินว่าคนทั้งประเทศเค้าเป็นแบบนั้นคงไม่ใช่
โชคดีที่ช่วงที่ไปอากาศกำลังดี เดือนมิถุนายน ไม่หนาวจนเกินไป เค้าบอกว่าถ้าอยากมาหน้าหนาวสุดๆต้องเป็นเดือนกุมภา อาจเห็นแสงออโรลา
เป็นประเทศที่น่าจะกลับไปอีกแน่นอน เพราะชอบสถาปัตยกรรมบ้านเค้าที่มีความสวยงาม คราวหน้าคงเป็น เซนต์ปีเตอร์เบิร์กแล้วล่ะ
ดูคลิปเพิ่มเติม