เช้าวันรุ่งขึ้น เราเดินไปที่ตลาดปลา ห่างจากตัวโรงแรมประมาณ 5 นาที
เนื่องจากตื่นสายแล้ว ร้านที่เปิดก็จะน้อยๆลง ละแวกนั้นร้านเหมือนๆกันหมดเลย เลยจิ้มมาร้านนึง
หลับซักพักใหญ่ นั่งรถไฟต่อไปยัง Norboribetsu ออกจากสถานีก็จะเจอสัญญลักษณ์เป็นรูปนี้ทั่วเมือง
นั่งแท็กซี่ เอากระเป๋าไปดรอปไว้ที่โรงแรม Nogushi
มี Welcome Drink เป็นชาเขียวอุ่นๆ กับขนมรองท้อง
เดินเล่นระหว่างรอเช็คอิน
เช็คอินเรียบร้อย เราก็เดินจากตัวโรงแรม ลงมาด้านล่าง ซึ่งหิมะตกตลอดเวลา แต่ได้บรรยากาศมากๆ
ร้านแถวนั้น มันจะเป็นดงของกิน ซึ่งจริงๆก็มีอยู่แค่ไม่กี่ร้านหรอก เดินหาร้านไปก็แวะถ่ายรูปไป มีสัตว์ปั้น ตัวเล็กตัวน้อย
ร้านโซบะ ที่ยืนต่อคิว ท่ามกลางความหนาวเหน็บนานมาก เป็นชั่วโมงเลยจ้า แถมต้องยืนรอหน้าร้านที่มีหิมะ จะเข้าไปรับฮีทเตอร์นิดนึงก็ไม่ได้ แต่ก็เป็นโซบะที่อร่อยจริง ได้คิวเป็นคู่สุดท้าย เค้าจะปิดร้านอยู่แล้ว
เมนูนี้อร่อยมากๆๆๆๆๆๆ ข้างบนเป็นอะไรไม่รู้เหนียวๆขาวๆ
เดินไปต่อยังหุบเขานรกจิโงคุดานิ Jigokudani Hell Valley ไม่ไกลมากเท่าไหร่ แต่ก็หนาว
อย่างที่บอกว่าสัญลักษณ์จะเป็นรูปยักษ์ในหลายๆที่
ทางเดินในบางส่วนน้ำแข็งละลาย พื้นลื่นมาก
ตอนที่ไปเป็นตอนที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว มันก็จะมืดๆหน่อย
ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร่ ก็ยิ่งหนาวมากขึ้นเท่านั้น
ควันพวยพุ่งเป็นแร่กำมะถัน
มือและเท้าแข็งแบบไร้ความรู้สึกไปเลย
หันไปเห็นพระอาทิตย์ตกดินพอดี ทั้งหนาว ทั้งสวย เหมือนไม่ได้อยู่บนโลก
หนาวมากแทบทนไม่ไหว พระอาทิตย์จะตกดินแล้วด้วย เลยบอกว่ากลับเถอะ เพื่อไปแช่ออนเซ็นในที่พักซึ่งราคาแพง เดี่ยวจะไม่คุ้ม ห้องพักสไตล์ญี่ปุ่น แนวยาว กว้างขวาง ปลอดโปร่ง วิ่งเล่นได้ มีเก้าอี้นวดด้วย
ห้องน้ำก็กว้าง มีกระจกบานใหญ่ ทำให้ห้องดูกว้างขึ้นไปอีก
ออนเซ็น เป็นน้ำแร่อย่างแท้จริง แร่ยังลอยอยู่เลยจ้า แต่อยู่ชั้นไม่สูงมาก ก็ไม่ค่อยกล้าเปิดกระจกตอนออนเซนเท่าไหร่ กลัวยืนแล้วคนข้างล่างเห็น 55
เป็นสองเตียง กลิ้งสบายใจเฉิบ ไม่ต้องติดกับปัญหาเตียงในโรงแรมญี่ปุ่นที่แทบจะสิงร่างกัน
นี่คือวิวกระจกที่มองออกไป ไม่สวยจ้า เจอแต่รถ 55
มีโซฟา แต่แทบจะไม่ค่อยได้นั่ง ห้องกว้างไป
สารพัดเครื่องประทินผมและผิวมีครบถ้วน
เครื่องดื่มครบครัน มีในตู้เย็นด้วย ทุกอย่างรวมอยู่ในค่าโรงแรมหมด
แล้วก็ประทับใจตรงนี้ ไม่ได้เป็นวันครบรอบอะไร แต่ก็มีครบรอบย้อนหลังด้วย หรือว่านี่คิดว่าเพิ่งมาฮันนีมูน
ลงไปแช่น้ำออนเซ็น 1 รอบ ก่อนลงไปกินข้าว
พร้อมลงไปกินแล้ว
แก้วแรก เรียกน้ำย่อย
เมนูทั้งหมดที่จะกินในมื้อนี้ ที่นี่ อร่อยทุกอย่าง
เช้าวันรุ่งขึ้น เราทานอาหารโรงแรม ซึ่งเป็นสิ่งที่กระจุ๋งกระจิ๋งอีกแล้วจ้า
ประทับใจเมนูน้ำที่นี่มาก แค่กินน้ำก็อิ่มละ หลายสิ่งอันมาก ละลานตาสุดๆ
อาหารเช้าแบบเบาๆ
เราออกจากโรงแรม นั่งรถบัส เพื่อต่อไปยังซัปโปโร ฟีลลิ่งที่ถึงเมืองจะค่อนข้างต่าง เพราะดูเป็นเมืองมากๆ
โดยส่วนตัวแล้ว ชอบความบ้านนอกมากกว่า
เราไปเช็คอินและดรอปกระเป๋ากันที่โรงแรม Mystays ไม่ไกลจาก Sapporo Station เดินถึงประมาณ 10 นาที
ออกจากโรงแรมไปหาของกิน
เจอแล้ว ข้าวแกงกะหรี่ที่เปิดหาใน Google ร้าน Carry House Colombo ต้องต่อคิวกินนะจ๊ะ แต่แค่ยืนอยู่หน้าร้านก็หิวแล้ว
เป็นร้านเล็กๆ แคบๆ นั่งเป็นแบบเค้าเตอร์ นั่งแล้วนั่งเลย ลุกไม่ได้
ทุกคนมาถึงก็จ้วงๆๆๆตักอาหารเข้าปาก
มาแล้ว นี่คือสั่งแบบธรรมดา เยอะมากไปอีก ไข่เยอะมาก หมูชิ้นใหญ่มาก ปิดท้ายด้วยไอติมฟรี อิ่มท้องจะแตก
อิ่มแล้ว ก็ไปหาที่เดินเล่นย่อยต่อ
ไปยังที่ทำการฮอกไกโด (Former Government Office Building)
เข้าภายในกัน
เดินไปหอนาฬิกาเมืองฮอกไกโด ไม่ไกลจากที่นี่มาก ที่นี่หิมะตกแบบเปียกๆ พื้นก็ดำๆ
ถึงละ หอนาฬิกา
เข้าไปด้านในกัน
เดินกลับโรงแรม ไปพักผ่อน จะบอกว่าใต้ถนนนี้มีทางเดินใต้ดินที่ยาวมาก อันนี้เราเซฟรูปมาจาก Google
ก็จะประมาณนี้ มีที่ช้อปปิ้งตลอดทางเหมือนเดินในห้างเลย ไม่ต้องเดินหนาวข้างบน
ขึ้นมาแล้วเจอร้านนี้เข้า ตั้งเป้าว่าจะกินขาปูยักษ์ให้ได้
ตอนกลางคืน อยากดูไฟ เลยออกมากันใหม่ แถวที่ทำการฮอกไกโดเหมือนเดิม ได้บรรยากาศช่วงกลางคืนไปอีก มันดีมาก ตรงที่เราถ่ายรูปกลางวัน กับกลางคืน เราก็จะเห็นบรรยากาศที่แตกต่างกัน
เดินต่อไปยัง Odori Park ซัปโปโร ที่เค้าจัดแสดง Illumination ไว้สวยงาม
ที่เห็นไกลๆนั่นคือซัปโปโรทีวีทาวเวอร์
เดินไปหาของกินมื้อเย็น หานานมาก ไม่รู้จะกินอะไรดี หลังจากพบว่าร้านปูที่อยากกินปิด
สรุปว่าได้มาเจอร้านเกี๊ยวซ่า ที่เค้าว่าอร่อย แล้วก็อร่อยจริงๆ
เท่านั้นยังไม่จบ นี่ก็ไปหาขนมกินต่อ ได้ขนมปลาจ้า อย่างร้อน แต่เอาออกมาเดินแป๊บเดียว สามารถเย็นได้ทันที