เช้าวันรุ่งขึ้น เราย้ายเมืองกันอีกแล้ว นั่งรถไฟไปที่ โอตารุ (Otaru)
ตอนไปวันนั้นเมืองค่อนข้างฟ้าใส มีแดด หิมะละลาย และนักท่องเที่ยวเยอะ
ตัวเมืองจะเป็นบล็อคๆ ดูเดินง่าย ไม่หลง ก่อนอื่น ก็เดินหาของกินมื้อเช้ากันก่อนเลยจ้า
พบแล้วร้านอาหาร
เจอแล้วคลองโอตารุ เห็นครั้งแรก ก็คิดในใจว่า มันก็เป็นแค่คลองไหม
ทำไมคนมาถ่ายรูปกันเยอะแยะไปหมด
ถ่ายรูปไป 1 แช๊ะ
แล้วก็เดินเล่นแถวนั้น
ก็เลยตัดสินใจว่าลองนั่งเรือชมวิวดูแล้วกัน ไม่มีอะไรทำ ขี้เกียจเดิน ไปซื้อตั๋วรอรอบเรือ
แดดอย่างแรงเลย แต่อากาศเย็น
ใส่เสื้อชูชีพก่อนลงเรือ
คนขับเรือเป็นต่างชาติ ที่ไม่ใช่ญี่ปุ่น พูดภาษาอังกฤษฟังสบายๆ เหมือนเหมาลำเลย นั่งกันอยู่ 2 คน
นั่งๆไป ออกทะเล อุ๊ย ว้าวเลยจ้า ไม่ใช่คลองเฉยๆละ ฟ้าสวย น้ำใสมาก
คนขับเรือชี้ให้ดูถึงนกที่หลบหนาวอยู่ตามเสาสะพาน
จบบริบูรณ์ มีคนยืนรับยิ้มหน้าแป้นอยู่
เนื่องจากมื้อเมื่อกี๊กินไปนิดเดียวจ้า เราเลยทำการมองหาร้านอาหารหนักๆกินกันต่อ
มันก็จะมีแถบโซนร้านอาหารข้างคลองนั่นแหละ
เจอร้านอาหารสไตล์ฝรั่งหน่อย
บรรยากาศร้านดูคลาสสิค
คราวนี้อิ่มจริง อิ่มมาก ท้องจะแตก หาเรื่องเดินย่อย
โซนคลองตรงนี้ เหมือนเป็นต้นคลองที่ทุกคนมาถ่ายรูปกัน
เดินเข้า Otaru Museum
กลัวว่าฟ้าจะมืดซะก่อน เราเลยรีบไปขึ้นรถบัสตรง Otaru Station เพื่อขึ้นไปยัง Otaru Ropeway
ซื้อตั๋วจากตู้ แล้วก็ยืนรอรสบัส มันก็จะงงๆนิดนึง อย่าขึ้นผิดคันล่ะ
ระหว่างทางที่ขึ้นเขา คือมีโรงเรียนอยู่บนนั้นด้วย มีเด็กนักเรียนมัธยมหน้าใส กรุบกริบ
ถึงแล้ว Otaru Ropeway สวยตั้งแต่ที่จอดรถ
เดี๋ยวตอนขากลับ ก็มาขึ้นรถบัสที่นี่แหละ แล้วรถเค้าก็วิ่งเป็นเวลา
ยังไม่ทันขึ้นไปอะไรก็สวยแล้ว
มองจากมุมด้านล่าง เป็นเป็นมุมที่เล่นสกีลงมา จุดสูงชุดข้างบนนั้น ชันพอดูเลย ขาสั่น ไม่กล้าเล่น
ไปซื้อตั๋ว เพื่อจะขึ้นไปบนนั้นกัน
เด็กๆชอบเล่นกันมาก
นั่งกระเช้าขึ้นไป จะเห็นลานสกีอยู่
ขาวหมดเลยจ้า และหมอกเยอะ
เปิด Google หาที่กินตอนเช้า เค้าบอกว่ามา Sapporo ต้องกิน Soup Curry ซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นของที่นี่ เราเลยเดินจากโรงแรมไป Tanukikoji Shopping Arcade
ถึงแล้วร้าน คนต่อคิวกันเพียบ แสดงว่ามันต้องอร่อยแน่ๆ แล้วคนต่อคิวก็เป็นคนญี่ปุ่น
เวลาเปิดคือ 11 โมงกว่าๆ แต่คนมาต่อคิวตั้งแต่ร้านยังไม่เปิด
ยืนรอกันไปเป็นชั่วโมง ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน เด็กเสิรฟบอกให้ไปกินอีกฝั่ง ที่คนต่อคิวน้อยกว่า และได้คิวไวกว่า
ก็ต่อคิวกันไปอีกเป็นชั่วโมง ถ้าเป็นประเทศไทย เห็นคิวยาวๆแบบนี้คงไปร้านอื่นแล้ว
สั่งน้ำปั่น ไอติมส้มมา อร่อยม๊ากกกก อร่อยน้ำตาจะไหล กินของหวานก่อนของคาวก็ได้เหรอ
Recommend เลย ใครชอบส้ม ต้องต้องต้อง กิน
มาแล้วอาหาร อร่อยดี สมกับการรอคอย ซุปคล้ายๆแกงกะหรี่ แต่มีความจางกว่า หอมเครื่องเทศ ซดน้ำได้จนหมด เกลี้ยงจาน
เหมือนอยากกินอะไรอีก เลยเดินไปในตลาด พบเจอร้านทาโกะยากิ พุ่งตัวเข้าไปโดยไว
เป็นร้านเล็กๆ มีสตูลให้นั่งดูเค้าทำ
มีถั่วให้กินตอนรอ
ทาโกะยากิราดชีส พ่นไฟ อู่ยยยยยยย
อย่างอิ่ม เลยเดินย่อยในตลาด Tanukikoji ซึ่งมันจะเป็นบล็อคๆ โซนๆให้เดิน
แต่ละโซน 1,2,3,4 จะมีของขายที่แตกต่างกัน ลองเสิร์ชใน Google ดู เขาจะเขียนบอกอยู่ ว่าโซนไหนขายอะไรบ้าง นี่ก็แวะดูร้านสัตว์
มีภาษาไทยด้วย ^^
จากที่เดินเล่นในตลาด มันจะมีทางลง ไป Pole Town ซึ่งเป็นทางเดินใต้ดินที่ยาวไปจนถึงสถานี Sapporo ได้เลย มีของขายใต้ดินตลอดทาง เดินง่ายสบายสะดวก
แวะ Family mart กินของกรุบกริบ
หลังจากนั้นก็นอนพักขาซักพักแล้วออกมาใหม่ อ้าวมืดอีกแล้ว
เดินไปเดินมาไม่รู้จะกินอะไรเลย เลยลองกินร้านตรงข้ามโรงแรมดู เป็นร้านปิ้งย่าง หัวเหม็น เสื้อเหม็นแน่นอน
กินเพลินมาก ปิ้งย่าง
กินๆไป ก็จะมีคุณลุงญี่ปุ่นที่นั่งข้างๆชวนคุยด้วย บอกให้ไปคุมาโมโตะสิ คุยไปคุยมาก็ยาวเลย มีคนชวนคุย เพลิน
จบอิ่มหนำสำราญกับของกินอย่างแท้จริง
วันต่อมาต้องตื่นเช้า แล้วเดินทางจาก Sapporo กลับโตเกียว เลขต้องซื้อข้าวกล่องง่ายๆเย็นๆกิน
หลับแล้วหลับอีก
มื้อกลางวันก็กินข้าวกล่องแฟมิลี่มาร์ทต่อ หลังจากลงรถไฟเปลี่ยนสถานี
ลองขนมที่เค้าว่าต้องกินจาก Sapporo
ถึงโตเกียวแล้วจ้า เหมือนช่วงนี้แพนด้าจะมาแรง ทุกอย่างเป็นแพนด้า
ไปเช็คอินที่โรงแรมเดิมที่พักที่โตเกียวไปวันแรก ได้ของขวัญวันคริสมาสต์พอดี
แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรในวัน X’mas eve หาของกินอีกแล้วค่ะ
ได้ร้านที่เป็น Seafood ปิ้งย่างเอง สั่งแหลก
บรรยากาศในร้านทั้งปิ้งย่าง ทั้งบุหรี่หัวเหม็นขนาดนี้
ความพีคคือหอยสดๆจ้า จะกินดี ไม่กินดี สดมากเลย ยังดึ๊บอยู่เลย ขนลุก
สุดท้ายก็ต้องกินนะ แต่ภาพติดตามาก ปรุงเองแล้วไม่อร่อยเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น ขึ้นรถไฟไป Meji Shrine
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง หาร้านราเมงกิน
รสชาติน้ำซุปแปลกมาก เหมือนมีกลิ่นส้มๆ และเอากระบวยมาเป็นช้อนตักน้ำซุป
จะต้องมาศาลเจ้าเมจิทุกปี
ซื้อป้ายเขียนขอพรปีใหม่
ปีนี้เป็นปีหมา
เป็นวันที่ชิลๆ สบายๆ กินขนมก่อนกลับ