บล็อคเที่ยวกุ้ยหลินนี้ เคยเขียนไว้ปี พ.ศ. 2559 ใน Pantip แล้วเอามาลงในบล็อคตัวเอง
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไปชมกันเลยค่ะ
วันแรก โปรแกรมแรก เราไปกันที่นาขั้นบันได หลงจี๋ หรือสันหลังมังกร
ผ่านอำเภอ หลงเซิ่น ซึ่งเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ แร่ธาตุ และยังเป็นเมืองน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงอีกด้วย และยังเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชนเผ่าชาวเย้า
พูดถึงนาขั้นบันได มันจะดูเหมือนมังกรเลื้อยรอบเนินเขา ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของอำเภอหลงจี๋ แถบหมู่บ้านเหอผิงในบริเวณนี้จะไม่มีพื้นที่ราบ ชาวบ้านจึงทำนาบนภูเขา ในลักษณะขั้นบันได โดยไล่ตั้งแต่ตีนเขาถึงยอดเขาเนินเขาที่เตี้ย ๆ ก็จะดูเป็นขดก้นหอย ส่วนภูเขาสูง ก็จะมีลักษณะคล้ายเจดีย์
นาขั้นบันไดจะดูสลับซ้อนเรียงกันสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
มาชมภาพกันเลยดีกว่า
ไปถึงทางที่จะขึ้นไปนาขั้นบันได ตอนเช้าประมาณ 10 โมง แดดกำลังแรง
บรรยากาศด้านนอก ก่อนไปขึ้นรสบัสขึ้นเขา
ซื้อตั๋วนั่งรถบัส
นั่งรอรถมากันซักพัก
ป่ะ ขึ้นรถกัน นี่ต้องขึ้นรถกับทัวร์จีน ที่ไกด์จีนโช้งเช้งมาก
เค้าแจกโบรชัวร์มา ที่นี่นาขั้นบันได มาฤดูแตกต่างกัน ก็จะได้รับชมความสวยงามไม่เท่ากัน
แอบนึกในใจว่าจะสวยเหมือนในภาพมั้ยน้า
พอไปถึง ลงจากรถ ก็เริ่มจากเห็นบรรยากาศของภูเขา อันนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
คือเห็นแค่นี้ก็สวยแล้ว แต่อากาศเหมือนอยู่เมืองไทยเลย
กุ้ยหลินเป็นเมืองของภูเขาสวยอยู่แล้ว ถ่ายออกมายังไงก็สวย
จากมุมนี้ เราก็เข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อย แล้วเดี๋ยวจะเดินขึ้นไปกันละ
เอาล่ะ ก้าวแรกได้เริ่มขึ้นแล้ว ใครเดินไหว ก็เดิน ใครเดินไม่ไหว ก็มีลูกหาบพาขึ้นไปข้างบนได้
คือคนที่นี่แข็งแรงมาก แม้แต่ผู้หญิง แบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ๆ ขึ้นหลัง แล้วขึ้นบันไดด้วย
นับถือความอึดเลย สุดยอด
แต่เค้าบอกว่าถ้านั่งให้คนแบกขึ้นไป จะยิ่งเสียวกว่าเดินขึ้นไปเองอีก ใครเดินไหวก็เดินเองเถอะ
เดินเข้าไปด่านแรกเป็นทางราบ ๆ ชัน ๆ เล็กน้อย เดินสบาย ๆ
มีขายของตามทาง
สังเกตจากร่ม อากาศเริ่มร้อนแล้ว
มีขายพวกอาหารแห้ง
บรรดาเนื้อเค็มแดดเดียวทั้งหลาย เค้าบอกว่าเก็บกินได้เป็นปี ๆ แต่เห็นแล้ว ก็ไม่ค่อยกล้ากินเท่าไหร่ >,<
มีขายพวกหินด้วย
ตามรายทางจะมีคนทำน้ำพริกเผาขายแบบนี้ เห็นสีแล้วแซ่บสุด ๆ แต่กินแล้วไม่ค่อยเผ็ดเท่าไหร่ อร่อยดี
เค้าบอกว่าคนกุ้ยหลินเป็นคนกินเผ็ด แต่อาหารที่ทำมาแต่ละอย่างจืด ๆ ทั้งนั้นเลย
ทริปนี้เราเลยกินอาหารลงเพราะพริกนี่แหละ แต่ก็นะ อร่อยปากลำบากตูดกันเลยทีเดียวค่ะ
เดินไปเรื่อย ๆ เจอลูกอะไรไม่รู้ ไม่ได้ซื้อ แต่เค้าบอกรสชาติเหมือนฟัก
คั่วเกาลัดกันตรงนี้เลย
สาว ๆ ที่นี่เค้ามีความเชื่อเกี่ยวกับผม คนที่นี่แก่ ๆ อาม่าก็ยังมีผมสีดำ เป็นสาว ๆ ผมสวย
เพราะใช้น้ำแร่ น้ำซาวข้าวสระผม ทุกคนเลยผมดีมาก และผมยาวกันทุกคน
สาว ๆ ที่นี่จะมีผมอยู่ 3 มัด คือ 1. ผมจริง 2. ผมที่ตัดตอนอายุ 18 (ตัดครั้งเดียวแล้วเก็บไว้เลย) 3. ผมร่วง สาว ๆ ที่นี่ก็ไม่ทิ้ง เก็บแล้วมัดไว้รวม ๆ แล้วยัดใส่ผมจริง เป็นเรานี่ที่บ้านกวาดทิ้งหมดแล้ว
และจะดูอีกอย่างว่าใครเป็นสาวบริสุทธิ์ ใครแต่งงาน ใครมีลูก
ถ้าคนที่ยังเป็นสาวบริสุธิ์อยู่ เค้าจะโพกผ้าไว้ ไม่ให้ใครเห็น คนที่เห็นผมคนแรกคือสามี
ถ้าคนที่มีลูกแล้ว ก็จะมีจุก อยู่ที่หัวด้านหน้า ก็แปลกดี บ่งบอกให้คนรู้หมดเลย
เขานู่น เขานี่ก็มีขาย
ตลอดทางก็มีขายพวกแดดเดียวทั้งหลาย มีร้านค้าตามรายทาง
มีการทอผ้าที่มีสีสัน
พ่อหนุ่มรายนี้กำลังปิ้งปลาหมึกอยู่ เดินผ่านแล้วหอมกันเลยทีเดียว
อาหารเผา ๆ ก็ขายได้
มาถึงจุดนี้ เริ่มจะต้องขึ้นบันไดกันแล้ว
มีคนแต่งชุดชนเผ่ามาขายของมากมาย
งานฝีมือของชนเผ่า
มาถึงจุดที่เริ่มเห็นขั้นบันได นิด ๆ
เดินกันต่อ ลักษณะบันไดเดินขึ้นไปประมาณนี้ตลอด
ตามรายทางก็มีของขายกันต่อไป
เมื่อเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ ก็จะมีพวกโรงแรมตั้งอยู่ อย่างที่บอกไปว่าไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นมาเอง จ้างคนแบกขึ้นมาได้
มาถึงจุดนี้ ทางขึ้นบันได เริ่มชันแล้ว บางคนก็ขอหยุดอยู่แค่นี้ แต่มาทั้งทีก็ต้องขึ้นไปต่อ
ขนาดคุณลุงกรุ๊ปเดียวกัน อายุ 77 ยังขึ้นเลย เราจะยอมแพ้ได้ยังไง
ดูจีน ๆ เหมือนโรงเตี๊ยมน้ำชา
เด็กจีน น่าร๊ากกกก
เดินกันต่อ ถ่ายรูปกันไป เหนื่อยก็หยุดพักถ่ายรูป
ใกล้จะถึงจุดพักถ่ายวิวกลางทางแล้วค่ะ
อาม่านั่งขายของ ยิ้มน่ารักมาก
หยุดพักเหนื่อยถ่ายรูปกันซักครู่ จุดนี้ถ่ายวิวออกมาสวย แต่ถ่ายคนย้อนแสงสุด ๆ เลยจ้า
พอหายเหนื่อยก็เดินต่อ จากจุดนี้ขึ้นไป บันไดเริ่มชันแล้วค่ะ เลยถ่ายรูปมาไม่ได้มาก โฟกัสกับการเดินขึ้นบันไดอย่างเดียว
ถึงจุดที่ถ่ายวิวแบบสวย ๆ ละ เสียดายที่ตอนไปถึงเค้าเพิ่งเก็บเกี่ยวไป ไม่อย่างนั้นพื้นที่ที่เราเห็นจะเป็นสีเหลืองทั่วไปหมด
จริงๆจุดนี้ยังไม่ใช่จุดที่สูงที่สุด ถ้าจุดสูงสุดต้องเดินขึ้นไปอีก 10 กว่านาที แต่ไกด์บอกวิวมันก็จะคล้าย ๆ กันนี่แหละ เลยขออยู่แค่จุดนี้ถ่ายรูปก็พอ
ถ้าอากาศเย็น ๆ หน่อย จะฟินมาก แต่นี่ทั้งแดดก็แรง อากาศก็ร้อน ถ่ายรูปทีตาหยี ถ่ายเสร็จต้องวิ่งมาหลบแดดพอพักหายเหนื่อย ก็ถึงตอนขาลง เดินลงซักพัก เจอน้ำส้ม ไม่ไหวแล้วหิวน้ำมาก
เหมือนน้ำส้มแก้วนี้จะราคาแพงทีเดียว แต่อร่อยก็ยอม
อย่างที่เกริ่นไปตอนแรกว่าคนที่นี่ค่อนข่างถึก ตะกร้าที่แบกขึ้นหลังนี่ปกติมีของมากมายใส่อยู่ เป็นบ้าหอบฟางทีเดียว
คิดว่าขาขึ้นดูลำบาก แต่เวลาขึ้นไปเรื่อย ๆ มันก็แค่เหนื่อย แต่ขาลงนี่ขาสั่น
มองวิวแล้วคนกลัวความสูงแบบเราก็ต้องค่อย ๆ หย่อนขาลงทีละก้าว หวาดเสียวอยู่ไม่ใช่น้อย ระหว่างทางก็จะเจอน้องหมาน่ารักๆ
ลงมาถึงข้างล่างได้ก็ขาสั่นกันไปจ้า สรุปแล้วนาขั้นบันไดกว่าจะเดินขึ้นไปชมวิวสวยงามอยู่ประมาณ 10 นาที
ก็ต้องเดินขึ้นบันไดไปนับก้าวไม่ถ้วนก่อน จบโปรแกรมแรก แบบเมื่อยขากันไป
แต่ก็เป็นประสบการณ์ว่าครั้งนึง เราเคยได้เดินขึ้นนาขั้นบันไดแล้วนะจ๊ะ