เช้าวันนี้ ตื่นมากินบุฟเฟ่ต์มื้อเช้า ชอบความถ้วยโคนใส่พวกของเหลวทั้งหลาย ได้ทั้งแยม โยเกิร์ตและอื่นๆ
อยากแช่น้ำตอนเช้ามาก แต่ต้องออกเดินทางแล้ว
ไปยังเมืองโบราณเฮียราโพลีส (Hierapolis) เค้าว่ากันว่าสร้างกันก่อนคริสตกาล เกือบ 200 ปี
ละแวกนั้นจะเป็นธารน้ำแร่ร้อน ปามุคคาเล่ ซึ่งเมืองเฮียราโพลีสเองเค้าเป็นเคยเมืองศูนย์กลางทางศาสนาที่ศักดิ์ศิทธิ์
จุดเด่นที่ไปตุรกีแล้วห้ามพลาด 1 จุด ก็คือ ปราสาทปุยฝ้าย (Cotton Castle) เป็นหน้าผาสีขาวขุ่น หน้าตาเหมือนธารน้ำแข็งขั้นบันได เห็นจากในภาพถ่ายจะมีน้ำสีฟ้าอยู่บนธารน้ำแข็ง ซึ่งปัจจุบันนี้ก็เหลือแค่บางจุดที่เค้ายังรักษาน้ำให้มีอยู่
สิ่งนี้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมและชาติ ในปี 1988 ด้วย เกิดจากน้ำแร่ร้อนที่มีส่วนผสมของแคลเซียมออกไซด์ผุดขึ้นมาจากใต้ดิน จนตกตะกอนเป็นหินปูน ปกคลุมเนินเขาเป็นพันปี ดูๆไปเหมือนเป็นหิมะ แต่มันไม่ใช่หิมะ เป็นหินทั้งนั้น
ไปจุดแรกดูเหมือนคลื่นทะเลซะมากกว่า
จะมีจุดที่สามารถถอดรองเท้าไปแช่เช้าได้ เราถอดรองเท้าเดินเหยียบหินปูนมาเรื่อยๆจนถึงจุดที่มีน้ำสีฟ้า
ของจริงสวยดีนะ แต่คนพลุกพล่าน ต้องหาจังหวะถ่ายรูปดีๆ พื้นที่ตรงจุดหินปูนไม่ลื่นนะ แต่อากาศเย็น เหยียบแล้วขาจะแข็ง ส่วนน้ำในจุดนี้ด้วยอากาศที่เย็นด้วยมั้ง เลยมีความรู้สึกว่ามันไม่ได้อุ่น เราเดินแค่อยู่ริมๆเพราะถือกล้องอยู่แล้วกลัวตก หาจังหวะให้คนแถวนั้นถ่ายรูปให้
ด้วยความที่มันไม่ค่อยมีน้ำ เลยมองไม่ค่อยออกเท่าไหร่ว่ามันเป็นระดับลดหลั่นกัน
นี่ง่ะ พอไม่มีน้ำมันก็จะดำๆแบบนี้แหละ ฝันสลาย ไปโฟโตช้อปใส่น้ำกันเอาเองนะ
มีอีกด้านนึงมันจะเป็นที่พัก แล้วก็จะมี Antique Pool อยู่
ก็จะเห็นเมืองโบราณชัดขึ้นไปอีก
สระว่ายน้ำที่นี่น่าจะเป็นน้ำอุ่น น่าเล่นมาก สัมผัสกับบรรยากาศ Antique สุดๆ
เค้าเอาพวกเสา ซากปลักหักพังมาตกแต่ง
เจอน้องเหมียวตัวนี้น่ารักมาก
เดินมาสุดทางอีกมุม ค่อยขาวหน่อย แต่ก็ไม่มีน้ำอยู่ดี
เดินทางต่อไปเมืองคอนย่า (Konya) ใช้เวลา 4.50 ชั่วโมงระหว่างทางก็แวะกินข้าว
อาหารกลางวันวันนี้เป็นข้าวหน้าตาเหมือนกับกระเพราหมูสับ แต่กลิ่นเป็นเครื่องเทศมากๆ กินเสร็จเรอทีคือกลิ่นยังออกอยู่เลย 55
สิ่งที่เค้ากินกันอีกอย่าง คือแป้งคล้ายพิซซ่า เหมือนอารมณ์กินขอบพิซซ่าอะไรแบบนั้น
ก็มีแวะจุดพักรถชิมโยเกิร์ตที่เหนียวมากเข้มข้นจนคว่ำจานก็ยังไม่หก โดยด้วยเค้าบอกว่าเป็นเมล็ดฝิ่น หรืออะไรซักอย่าง ที่มันไม่ใช่ยาเสพติดนะ คลุกให้เข้ากัน เป็นอะไรที่แปลกๆกรุบๆดี
เดินทางต่อไปยังพิพิธภัณฑ์เมฟลาน่า (Mevlana Museum) เป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งก่อตั้งมาตามชื่อของผู้ก่อตั้ง ซึ่งเชื่อกันว่าเค้าเป็นคนที่ชักชวนคนที่นับถือศาสนาคริสต์ เปลี่ยนมานับถืออิสลาม ในตุรกี เค้าจะทำการละหมาดกัน 5 ครั้งต่อวัน อย่างเวลาตอนเช้าๆตื่นมาจะได้ยินเสียงพิธีกรรมทางศาสนาละ
ก่อนเข้าไปในพิพิธภัณฑ์ ไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างทำธุระเหมือนมีคนเขย่าประตูหลายที พอตอนจะออกบิดประตูห้องน้ำไม่ออกบิดซ้ายบิดขวา ก็ยังไม่ออกจนต้องโทรตามแม่ ไปตามไกด์ ไปตามคนในพิพิธภัณฑ์มาช่วย สุดท้ายก็บิดไปบิดมาเปิดเองได้ ติดอยู่ในนั้นประมาณ 15 นาทีได้ ติดอยู่คนเดียวเลย โชคดีที่เพื่อนที่เคยไปก่อนหน้าก็ติดเหมือนกัน แต่รายนั้นติดอยู่ครึ่งชั่วโมง เพราะไม่ได้เอาโทรศัพท์เข้าไปด้วย แถมประตูเป็นแบบเหล็กที่ปิดตายทุกด้าน ไม่มีทางออกได้เลย อยู่นานๆชักเริ่มอึดอัด และแอบหวั่นกับความลึกลับ เพราะเป็นสถานที่ที่เป็นสาสนาด้วย ในที่สุดก็ออกมาได้ แค่หมุนเกลียวไปมาแบบไม่ต้องพังประตู แปลกดี เข้าไปดูในส่วนของพิพิธภัณฑ์ ที่ตุรกีหลายที่ที่เป็นที่ต้องรักษาความสะอาด เค้าจะให้ใส่ถุงคลุมรองเท้าพลาสติกเข้าไป ไม่ก็แจกถุงพลาสติกให้ใส่รองเท้า ดูเป็นการสิ้นเปลืองพลาสติกมากไปหน่อย
จุดนี้เค้าบอกว่าดมแล้วจะมีกลิ่นของอะไรซักอย่าง ฟังไม่ทัน
จริงๆหลายศาสนาก็คล้ายๆกันอยู่ ที่ต้องล้างทำความสะอาดตัวก่อนที่จะเข้าสู่ศาสนสถาน
นี่คือเค้าก็น่าจะจำลองท่านเมฟลาน่า เจลาเลดดิน รูบี ซึ่งเป็นผู้ชักชวนคนนับถืออิสลามตามที่บอกไปตอนต้น
บรรยากาศด้านนอก จะมีเสียงบทสวดเป็นระยะ
สัญลักษณ์รูปดวงตา เป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องสิ่งชั่วร้าย มีขายอยู่ทั่วไปในตุรกี ก็ซื้อเป็นของฝากได้ ราคาแต่ละที่ก็แตกต่างกัน แต่เราเลือกอันที่คิดว่าทุกคนจะใส่ได้เป็นอันเล็กๆน่ารักดี อันที่แปลกหน่อยราคาก็จะสูงกว่าทั่วไป บางจุดพวกสินค้าพวกนี้ก็ต่อรองได้ จะลดราคาไปเรื่อยๆเหมือนที่อื่นนั่นแหละ แต่เราซื้อมาจากร้านก็มีของแถมให้เฉยๆ ไม่ได้ลดราคาอะไรมาก
ที่เมืองนี้ก็จะมีรถราง
ถึงโรงแรมแล้ว ห้องดีเลย Ramada Plaza
ห้องอาหารที่นี่จะแอบหรูอยู่ เค้าเลยไม่ให้เอาพวกน้ำพริก หรือน้ำจิ้มอะไรของชาติอื่นมากินปนกัน หรือแม้แต่หยิบขึ้นมาก็ไม่ได้ สังเกตดูที่ตุรกีนี้เค้าจะไม่กินซอสมะเขือเทศหรือน้ำจิ้มอะไรกันเลยนะ กินยังไงก็กินยังงั้นเลย อย่างมากก็พริกไทย เกลือ
จานนี้เป็นไก่