เช้าวันที่ 2 ของการไปเที่ยว เราไปกันที่ Animal Kingdom
Animal Kingdom เปิดเมื่อ 22 May 1998 มีพื้นที่ประมาณ 400 acre ซึ่งถือว่าใหญ่ที่สุดในบรรดาปาร์คอื่นๆ และเป็นปาร์คที่ Popular เป็นอันดับ 2 รองจาก Magic Kingdom
พูดถึง Animal Kingdom ที่ทุกคนนึกถึงเลยก็จะเป็น Pandora ที่ทุกคนต้องมา วันนั้นเราเรียกรถจากแอพ Lyft ให้ไปส่ง คนขับรถชวนคุยใหญ่ จริงๆมันมีรถบัสฟรีไปถึงปาร์คเลย แต่อยากลองนั่งดู มันก็สะดวกดี แต่ราคาค่อนข้างแพง
เช้าวันนั้นเป็นเช้าวันที่ฝนตก อากาศเหมือนไปเดินป่า บรรยากาศของ Animal Kingdom แตกต่างจาก Magic Kingdom ที่ไปมาโดยสิ้นเชิง เนื่องจากยังไม่ได้กินข้าว เข้าปาร์คปุ๊บ ก็เลยหาร้านกิน Breakfast เจอร้าน Rainforest Cafe ที่ขายอาหารเช้าอยู่
เข้าไปเจอโซนร้านขายของ คือดีมาก
เราไม่ได้จองไว้ก่อน เลยไปนั่งเค้าเตอร์
ตรงนี้ก็เก๋ๆดีนะ
สั่งชาเขียวร้อนมา
ระหว่างรอก็มี special Effect เป็นน้ำตก เป็นเสียงสัตว์
พิซซ่ากันแต่เช้า จานใหญ่มาก อร่อยอยู่นะ แต่กินไม่หมด
จุดแรกที่เห็น คือ Tree of Life เป็น Park Icon ของ Animal Kingdom สูงประมาณ 145 ฟุต
Tree of Life จะมีบรรดาสัตว์นาๆชนิด อยู่ในต้นไม้
มีสตาร์บัค ที่เป็นแบบฉบับเฉพาะของ Animal Kingdom
ชอบความเป็น Disney อย่าง คือไม่ว่าใครก็สามารถแต่งตัวอะไรกันได้
จะมีเป็นโซนต่างๆ เช่นโซน แอฟริกา โซนเอเชีย
ฝนก็ตกมาเรื่อยๆเลย
คือบรรยากาศ ตอนที่ฝนตก รวมถึงสิ่งก่อสร้าง ต่างๆ มันทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ที่นั่นจริงๆ
ฝนเริ่มตกหนัก จนต้องหาที่หลบฝน เข้าไปต่อคิวหลบฝนที่ Kilimanjaro Safaris ต่ออยู่เป็นชั่วโมง
ได้ขึ้นรถละ
อารมณ์นั่งรถ ส่องสัตว์ เค้าบอกว่า Animal Kingdom จะมีสัตว์ประมาณ 2000 ตัว
ร้านขายของที่ระลึกมีกบแอดๆ จากไทยแลนด์ด้วยจ้า
น้ำตาลสีๆหวานๆใส่หลอด
ออกมาเจอฝน ไม่ไหวละ ต้องซื้อเสื้อกันฝน แพงอยู่นะ ถ้าใครไปแนะนำให้พกไปเอง เรียก Poncho
มาถ่ายรูป Tree of Life จากอีกมุมนึง เห็นชัดดี และคนไม่เยอะ
ร้าน Yak & Yeti เป็นร้านยอดฮิต ใน Animal Kingdom ต้องจองคิว และรอคิว คนเยอะมากตอนช่วงกลางวัน อยู่ในโซนเอเชีย
ในร้านคนเยอะมาก เลยออกมาซื้อด้านนอก เมนูขึ้นชื่อของที่นี่เป็น Yak & Yeti Chicken Fried Rice
รสชาติมันก็เป็นเหมือนข้าวผัดไก่ นั่นแหละ จืดๆ แต่ความแซ่บของมันนั่นก็คือ Thai Style Chili Sauce นั่นคือแจ่วนั่นเอง ที่ทำออกมาเป็นซอง ราดลงไปกินกับข้าวแล้วมีความนัว อร่อยดี
อีกเมนูขึ้นชื่อ ที่ต้องกิน คือ Turkey Leg ขาใหญ่มาก แล้วเนื้อมีความฉ่ำมาก อร่อย ชอบ จิ้มกับแจ่วอีกนั่นแหละ
ต่อไปเป็นโซน Maharajah Jungle Trek เดินเล่น
ชมค้างคาว
โซนนี้ถ่ายรูปสวยนะ เสียดายฝนตก
เห็นความสูงของ Expedition Everest- Legend of the Forbidden Mountain แล้วไม่กล้าเล่น
หลบฝน เข้าไปดูโชว์นีโมแป๊บ
เค้าก็จะมีกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆให้เล่นกัน บรรยากาศสนุกดี
เข้าไปในส่วนของ Discovery Island ใน Tree of Life เข้าไปดูหนัง 4 มิติ It’s Tough to be a bug
เป็นเรื่องราวของแมลง ก็สนุกดีนะ สำหรับคนเกลียดแมลนี่แอบมีกรี๊ด 55
มีโปสเตอร์ล้อเลียนละคร อยู่ด้านหน้า
เดินต่อไปโซนไดโนเสาร์
เข้าไปเล่น Dinosaur จอง Fast Pass ไว้เลยไว
ถ่ายออกมานี่มืดตึ๊ด อันนี้สนุกดี เหมือนจะน่ากลัว แต่ก็น่ากลัวแหละ มันมืดๆ ไดโนเสาร์ตัวร้ายซะเยอะ
ถึงโซน Pandora Avatar ตอนกลางวัน ตกแต่งเป็น Pandora เลยจ้า
อันนี้เป็นจุดที่เด่นสุด และทำเหมือนจริง สูงมาก
โซนร้านอาหาร
ร้านขายน้ำ Pongu Pongu
ลองเข้าไปดูส่วนร้านขายของที่ระลึก
ขาย Banshee เป็นเหมือนหุ่น ขยับได้ น่ารักดี แต่แพง
เข้าไปล่องเรือชม Na’Vi River Journey กิ๊งก่องๆ
ตอนแรกก็ง่วงๆ จะกลับไปนอนละ แต่คิดไปคิดมา อาจจะไม่ได้มาอีก เลยอยากดู บรรยากาศ Pandora ตอนกลางคืน คราวนี้ทำยังไงล่ะ ระหว่างรอ ก็เลยเอ้า ไปต่อคิวแล้วกัน ตอนแรกที่ต่อแถวประมาณ 150 นาที ไม่สามารถจอง Fast Pass ได้แล้ว เพราะเหมือนต้องจองล่วงหน้านานมาก ก็เอ้าไม่เป็นไร ไม่น่าจะนานมากมั้ง เลยไปต่อคิวดู ต่อตั้งแต่ฟ้ายังสว่าง ข้างนอกมันก็จะเป็นกลางแจ้ง แต่ไม่ร้อน มีพัดลมเป่าให้ตลอด อยู่ตรงด้านนอกนี้ประมาณ 40 นาทีได้
ก็ยังนับว่าโชคดีนะที่ยังมีคนรอด้วย เพราะรอนานมาก ถ้าใครไปรอเป็นกลุ่มก็หาเกมเล่นกันไป มันจะได้ไม่เบื่อ พอเข้าไปรอด้านใน บรรยากาศมันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆทำให้เราไม่เบื่อ พอถึงจุดนี้ก็ประมาณ 2 ชั่วโมงได้ละ
นี่คือมีคนโยนเหรียญลงไปหรือไง
ถึงจุดนี้ ก็น่าจะประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงได้ เริ่มมาตื่นเต้นเอาตรงนี้แหละ ก็คิดนะ ว่าต่อคิวมายาวนานขนาดนี้ มันต้องมีอะไรดีจริงๆ ถ้าไม่ดีจริงนี่ มีโวยวายแน่นอน
มีหน้าให้ดูนักบิน 555
ต่อแถวอีกแค่อึดใจเดียว
ไปค่ะ เข้าห้องกัน
เข้าไปถึงเค้าก็จะถ่วงเวลา บิ๊วอารมณ์เรา ให้ตื่นเต้น
ตอนก่อนที่จะเล่น คือไม่ได้ดู ไม่ได้อ่านรีวิวอะไรเลย แล้วไม่รู้ว่าคืออะไร
ข้างในพอเข้าไปถึงเค้ามีที่ให้เก็บกระเป๋า และไปนั่งคล้ายๆจักรยานปั่นตามบ้าน ใส่แว่น 3 มิติ ดูจอขนาดยักษ์
พอเปิดปุ๊บ เหมือนเราอยู่บนฟ้าจริงๆ แล้วมันหวาดเสียวมาก แบบตื่นเต้นตลอดการเล่น จริงๆมันนั่งอยู่แค่ในห้อง แต่กรี๊ดไปนอกห้องแล้ว จบออกมาแบบฟิน ฟินสุดๆมากๆจริงๆ อยากจะเล่นอีกรอบเลย 555 คุ้มค่ากับ 3 ชั่วโมงกว่าที่รอคอย
ออกมาด้านนอกก็มืดละ ได้ฟีลอีกแบบ มันมืดแบบมืดมากจริงๆ
เดินออกมาดูโชว์ปิดปาร์ค Tree of Life
คราวนี้เรากลับด้วยรถบัสกันละ เดินออกมาปุ๊บ ป้ายเด่นมาเลย ว่าขึ้นสถานีไหน
ไปยืนรอตามสถานีจอดรับเลย กลับโรงแรมกัน
มันก็จะแวะจอดตามโรงแรมต่างๆ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าคนที่รู้ภาษาก็ยังขึ้นกันผิดป้าย ลงกันผิดไป งงกันไปหมด
เราก็ว่ามันไม่ได้ยากเลยนะ แต่ก็จะมีคนงงๆนิดนึง
มีความหิวเบาๆ แต่ส่วนใหญ่ร้านก็ปิดกันละ เลยแวะแฟนตาซี Market ที่โรงแรม ได้ของกินมาประมาณนี้
สรุปว่าวันนี้ฟินๆอยู่